1. ภัทราพร ยั่งยืน ม.6/2 เลขที่ 41
2. ภรณ์ประภา ปานประภากร ม.6/2 เลขที่ 42
3. ชลธิชา ผาสุพรรณ์ ม.6/2 เลขที่ 44
4. ชนิกานต์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ม.6/2 เลขที่ 46
5. คนิดาริน ปานยิ้ม ม.6/2 เลขที่ 47
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553
ไฟฟ้ากระแสสลับ
ไฟฟ้ากระแสสลับ
ไฟฟ้า กระแสสลับหมายถึงกระแสไฟฟ้าที่มีการสลับสับเปลี่ยนขั้วอยู่ตลอดเวลาอย่าง สม่ำเสมอ ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า ก็จะเปลี่ยนสลับไปมาจากบวก-ลบและจากลบ-บวก อยู่ตลอดเวลา ซึ่งไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่ใช้กันตามบ้านเรือนและโรงงาน อุตสาหกรรมทั่วไปเมื่อเรานำไฟฟ้ากระแสสลับมาเขียนเป็นกราฟความสัมพันธ์ ระหว่างแรงดันไฟฟ้ากับมุมที่เปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไปในขณะที่เกิดการไหล ของกระแสไฟฟ้าจะได้ความสัมพันธ์ของกราฟเป็นเส้นโค้งสลับขึ้นลงไปมาซึ่งหมาย ถึงเมื่อเวลาผ่านไปแรงดันไฟฟ้าจะสลับการไหลตลอดเวลา การไหลของกระแสสลับกลับไป กลับมาครบ1รอบ เรียกว่า 1 ไซเคิล (cycle) หรือ 1 รูปคลื่นและจำนวนรูปคลื่น ทั้งหมดในเวลาที่ผ่านไป 1 วินาที เรียกว่า ความถี่(frequency) ซึ่งความถี่ ไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็นรอบต่อวินาทีหรือรูปคลื่นต่อวินาทีหรือไซเคิลต่อวินาที มีหน่วยย่อเป็น"เฮิรตซ์"(Hertz)สำหรับความถี่ไฟฟ้าในประเทศ ไทยเท่ากับ 50 เฮิรตซ์
การกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ
ค่าของแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของขดลวดตัวนำขณะหมุนตัดกับเส้นแรงแม่เหล็กในสนามแม่ เหล็กนั้น ถ้าทิศทางการเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำตั้งฉากกับเส้นแรงแม่เหล็ก แรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะมีค่าสูงสุดและจะมีค่าน้อยลง เมื่อทิศทางการเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำตัดกับเส้นแรงแม่เหล็กในมุมน้อยกว่า 90๐ และจะมีค่าเป็นศูนย์เมื่อขดลวดตัวนำวางขนานกับเส้นแรงแม่เหล็ก
จะเห็นว่าใน 1 วัฎจักรของการหมุนขดลวดตัวนำ คือ หมุนไป 360๐ ทางกลน้ำจะเกิดรูปคลื่นไซน์ 1 ลูกคลื่น หรือ 1 วัฎจักร ถ้าขดลวดตัวนำนี้หมุนด้วยความเร็วคงที่และสภาพของเส้นแรงแม่เหล็กมีความหนา แน่นเท่ากันตลอด รอบพื้นที่ของการตัดแรงดันไฟฟ้าสลับรูปคลื่นไซน์ที่จะมีค่าคงที่และถ้ามีการ หมุนของขดลวดต่อเนื่องตลอดไป จะทำให้เกิดจำนวนรอบของแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำต่อเนื่องกันไป นั่นคือการเกิดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
ความถี่และคาบเวลาของไฟฟ้ากระแสสลับ
ความถี่ของกระแสสลับ (Frequency ตัวย่อ f) หมายถึง จำนวนวัฏจักรของการเกิดรูปคลื่นไซน์ต่อเวลา 1 วินาที
ถ้าเกิดรูปคลื่นไซน์ 2 วัฏจักรต่อเวลา 1 วินาที ก็แสดงว่าไฟฟ้ากระแสสลับที่เกิดขึ้นมีความถี่ 2 วัฏจักรต่อเวลา 1 วินาที หรือเรียกแทนในหน่วยเฮิรตซ์ (Hz) หรือความถี่ไฟฟ้ากระแสสลับ 50 เฮิรตซ์ ก็คือการเกิดรูปคลื่นไซน์จำนวน 50 วัฏจักรต่อเวลา 1 วินาที และจากรูป 4.2 รูปคลื่นไซน์นี้มีความถี่เท่ากับ 1 เฮิรตซ์ เป็นต้น
ความถี่และคาบเวลาของไฟฟ้ากระแสสลับ
ความถี่และคาบเวลาของไฟฟ้ากระแสสลับ
มุมและความเร็วเชิงมุม
มุมใน 1 วัฏจักรการกำเนิดรูปคลื่นไซน์อย่างสมบูรณ์นั้น ประกอบด้วยจำนวนมุมของการวัดในหน่วยองศารวม 360 องศา แต่ใน 1 รอบวงกลมนั้นเราแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหรือ 4 ควอแดนท์ แต่ละส่วนมีค่ามุมส่วนละ 90 องศา ตามทิศทางของลูกศร ซึ่งแต่ละ90 องศา ก็คือความยาวในแกนนอนของกราฟรูปคลื่นไซน์โดยมีแกนตั้งเป็นแกนบอกขนาด ซึ่งอาจเป็นขนาดของกระแสหรือแรงดันของไฟสลับ


ค่าสูงสุดกับค่ามิเตอร์
เมื่อนำตัวต้านทานต่อเข้ากับเครื่อง กำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับจะมีกระแส สลับผ่านตัวต้านทานและมีความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง ปลายทั้งสองข้าง ของตัวตานทาน
ค่าของปริมาณทั้งสองเปลี่ยนแปลงตามเวลาดังกราฟ
เนื่องจากไฟฟ้ากระแสสลับจะมีค่าเปลี่ยน แปลงตลอดเวลา (t) ดังนั้นในการ เขียนค่าความสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น EMF, ความต่างศักย์ หรือกระแสไฟฟ้าจะอยู่ในความสัมพันธ์ของฟังก์ชัน sine ซึ่งจะเขียนได้ดังนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าสูง สุดกับค่ามิเตอร์ หรือ rms

เมื่อป้อนกระแส I = Im sinωt กับความต้านทาน R
กำลังที่เสียไปที่ตัวต้านทาน R เขียนได้เป็น P = I2R
P = [(Im2)sin2ωt] R
P = [(Im2)R] sin2ωt
ดังนั้น จะได้ว่า [(Im2)R] sin2ωt = I2R
เนื่องจากเทอม [(Im2)R] sin2ωt จะมีค่าเป็นบวกตลอดเวลา และมีค่าไม่คงที่
ถ้าเราหาค่าเฉลี่ยใน 1 คาบ จะพบว่าค่าเฉลี่ยของ sin2ωt เท่ากับ 1/2
P = Im2 R (1/2)
ถ้าป้อนกระแสคงที่ผ่านตัวต้านทาน R ให้ได้กำลังเท่ากับกำลังเฉลี่ย จะได้ว่า
V = Vm sin ωt เมื่อ ω = 2Πf
และ I = Im sin ωt
เมื่อ Vm = ความต่างศักย์สูงสุด
มีหน่วยเป็น โวลต์ (V) Im = กระแสไฟฟ้าสูงสุด มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
จากสมการเราได้ว่า V หรือ I คือ ค่ายังผล หรือค่า มิเตอร์
และ I = Im sin ωt
เมื่อ Vm = ความต่างศักย์สูงสุด
มีหน่วยเป็น โวลต์ (V) Im = กระแสไฟฟ้าสูงสุด มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
จากสมการเราได้ว่า V หรือ I คือ ค่ายังผล หรือค่า มิเตอร์
หรือค่ารากที่สองของค่าเฉลี่ยของกำลังสองของ ความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า
ใช้ VRMS และ IRMS ซึ่งเป็นค่าที่วัดได้จากเครื่องวัดกระแสสลับและใช้ค่านี้ในการคำนวณ โดยมีความสัมพันธ์ดังนี้
Vm = √2 Vrms
Im = √2 Irms
โดยทั่วไปเครื่องวัดปริมาณต่าง ๆ ของไฟฟ้ากระแสสลับ เช่น ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า จะออกแบบให้วัดค่า rms
เช่น ไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้ตามบ้านเรือนที่เขียนว่า 220 V ค่านี้หมายถึง ค่ายังผล หรือ rms ซึ่งถ้าจะหาค่าสูงสุดก็จะได้เท่ากับ 311V
คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
1. สามารถส่งไปในที่ไกล ๆ ได้ดี กำลังไม่ตก ใช้ VRMS และ IRMS ซึ่งเป็นค่าที่วัดได้จากเครื่องวัดกระแสสลับและใช้ค่านี้ในการคำนวณ โดยมีความสัมพันธ์ดังนี้
Vm = √2 Vrms
Im = √2 Irms
โดยทั่วไปเครื่องวัดปริมาณต่าง ๆ ของไฟฟ้ากระแสสลับ เช่น ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า จะออกแบบให้วัดค่า rms
เช่น ไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้ตามบ้านเรือนที่เขียนว่า 220 V ค่านี้หมายถึง ค่ายังผล หรือ rms ซึ่งถ้าจะหาค่าสูงสุดก็จะได้เท่ากับ 311V
คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
2. สามารถแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตามต้องการโดยการใช้หม้อแปลง (Transformer)
เฟส และมุมเฟส
เฟส (Phase)
เมื่อเขียนกราฟระหว่าง sinωt กับ t จะเรียกตำแหน่งต่าง ๆ บนเส้นกราฟว่า เฟส(phase)
โดยที่ ที่เวลา t = 0 ค่า sinωt มีค่าเป็นศูนย์ จะมีเฟสเท่ากับ ศูนย์
และเมื่อเวลาผ่านไป sinωt มีค่าสูงสุดเป็นครั้งแรก (จุด A) จะมีเฟส เท่ากับ π/2
เฟสนำและเฟสตาม
เมื่อเทียบกับ sinωt แล้วจะมีเฟสตามอยู่ π/2 เรเดียน
เมื่อเทียบกับ sinωt แล้วจะมีเฟสนำอยู่ π/2 เรเดียน
1.วงจร ตัวต้านทาน (R) เมื่ออยู่ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับที่มีกระแสไฟฟ้า I และมีความต่างศักย์ Vจะมีสมบัติเหมือนกันและคำนวณหาความต้านทาน (R)โดยใช้กฎของโอห์มไฟฟ้ากระแสสลับ - ขดลวดเหนี่ยวนำ
ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ได้แก่ ตัวต้านทาน (R) ตัวเก็บประจุ (C) และขดลวดเหนี่ยวนำ (L)
ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ได้แก่ ตัวต้านทาน (R) ตัวเก็บประจุ (C) และขดลวดเหนี่ยวนำ (L)

.jpg)


จึงได้ว่า “ กระแสสลับที่ผ่านตัวต้านทานและความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง ปลายของตัวต้านทานมีเฟสตรงกัน”
2. วงจรตัวเก็บประจุ (C) เมื่ออยู่ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ที่ มีกระแสไฟฟ้า I และมีความต่างศักย์ Vจะมีสมบัติดังรูป

แสดงว่า กระแสไฟฟ้าในวงจรตัวเก็บประจุจะมีเฟสนำหน้าความต่างศักย์ไฟฟ้าของ ตัวเก็บ ประจุอยู่ 90 องศาในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงกระแสจึง ผ่านไม่ได้ จึงถือว่ามีความต้านทานสูงมากแต่ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ แม้ว่ากระแสจะผ่านไม่ได้ แต่จะมีการเหนี่ยวนำกลับไปกลับมาระหว่างแผ่นโลหะทั้งสองข้างทำให้คล้ายมีกระแสผ่านได้ แต่ตัวของมันจะมีสมบัติต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าจึงคล้ายมีความ ต้านทาน ซึ่งเรียกว่า “ความต้านทานเชิงความจุ” (XC) มีหน่วยเป็นโอห์ม
การเขียนแผนภาพเฟเซอร์
เป็นวิธีการที่จะช่วยในการรวมค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ โดยการเขียนลูกศรแทนความต่างศักย์ไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้า ให้ความยาวของลูกศรแทนขนาดและตำแหน่งของลูกศรแสดงเฟสเริ่มต้นของปริมาณนั้น
กฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน (Newton 's laws )
กฏข้อที่ 1 ของนิวตัน
จากการเคลื่อนที่ของวัตถุ ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จะพบว่าวัตถุที่วางนิ่งอยู่บนพื้นราบเรียบจะ อยู่นิ่งต่อไปถ้าไม่ออกแรงกับวัตถุนั้น เช่น ก้อน หินที่วางบนพื้น เฉยๆ และวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ถ้าไม่มีการออกแรงกับวัตถุนั้น หรือออกแรง 2 แรง กับวัตถุนั้นในแรงที่เท่ากัน และทิศตรงข้ามกัน แล้ว วัตถุจะยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เท่าเดิม เช่น เมื่อเรา อยู่ในรถ แล้วรถเกิดเบรกกระทันหัน ทำให้รถหยุดนิ่ง อย่างรวดเร็ว นันคือ มีแรง จากการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และแรงเสียดทานในการเบรกในทิศตรงข้ามกันแต่ ตัว เรายังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแม้รถจะหยุดแล้วก็ตาม กฎข้อที่ 1 ของนิวตัน เรียกอีกอย่างได้ว่า กฎความเฉื่อย
จากการเคลื่อนที่ของวัตถุต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จะพบว่า วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ เมื่อ เราออกแรงผลัก หรือ ดึงวัตถุที่เคลื่อน ที่อยู่นั้น ความเร็วจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งเรียกว่า วัตถุมี ความเร่ง เช่น เมื่อเราขับรถอยู่ แล้วเหยียบคันเร่งให้รถวิงเร็วขึ้น ความเร็วที่เพิ่มขึ้น เกิดจากแรงของรถ ที่เรียกว่า ความเร่งนั้นเอง และขนาดของความเร่งนั้นจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของวัตถุนั้นด้วย
โดยถ้า น้ำหนัก ของวัตถุ 2 วัตถุ เท่ากัน แต่ออกแรงให้วัตถุแต่ละวัตถุไม่เท่ากัน วัตถุที่ถูกออกแรงมากกว่าจะมีความเร่งมากกว่า และ ถ้าออกแรงให้กับ วัตถุ 2 วัตถุเท่ากัน ในขณะที่น้ำหนักทั้ง 2 วัตถุ ไม่เท่ากัน วัตถุที่น้ำหนักมากกว่าจะมีความ เร่งน้อยกว่า วัตถุที่มีน้ำหนักน้อยกว่า วัตถุ ที่เคลื่อนที่ตกจากที่สูง จะเคลื่อนที่ด้วยความร่งคงตัว แสดงว่า วัตถุนั้น ต้องมีแรงกระทำอยู่ จึงทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง แรงที่ทำกับ วัตถุนั้น เราเรียกว่า แรงดึงดูดของโลก หรือ แรงโน้มถ่วงของโลก และอาจเรียกได้อีก อย่างว่า น้ำหนักของวัตถุ
กฏข้อที่ 3 ของนิวตัน
ในชีวิตประจำวัน เราพบว่า เมื่อออก แรงกระทำกับวัตถุหนึ่ง วัตถุนั้นจะออกแรงตอบโต้กับ แรงที่เรากระทำในทันที เช่น เราสวมรองเท้าสเก็ตแล้วหันหน้าเข้ากำแพง เมื่อเราออกแรงพลักกำแพง ตัวเราจะเคลื่อนที่ออกจาก กำแพง นั้นแสองว่า กำแพงต้องมีแรงกระทำต่อเราด้วย จากตัวอย่างนี้ เรา เรียกแรงที่ เรากระทำต่อกำแพงว่า แรงกิริยา และเรียกแรงที่ กำแพงกระทำต่อเราว่า แรงปฏิกิริยา แรงทั้ง 2 นี้เรียกรวมกัน ว่า แรง คู่กิริยา - ปฏิกิริยา หรือ action - reaction pairs
แรงคู่กิริยา – ปฏิกิริยาที่กระทำระหว่างคนและโลก เมื่อคนยืนอยู่บนผิวโลก
จากรูปสามารถสรุปได้ว่า
1. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาจะเกิดพร้อมกันเสมอ
2. แรงคู่กิริยา – ปฏิกิริยาเป็นแรงที่กระทำต่อวัตถุคนละวัตถุกัน ดังนั้นแรงคู่นี้จึงรวมกันไม่ได้
3. แรงคู่กิริยา - ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้ทั้งกรณีที่วัตถุสัมผัสกันหรือไม่สัมผัสกันก็ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)